ข้อคิดชีวิตกำลังใจยามท้อแท้
เหนื่อยไหม? ท้อไหม? กับชีวิต
เพื่อนๆเคยรู้สึกแบบนี้บ้างไหมคะ คือเวลาที่ตื่นขึ้นมาแล้วไม่อยากที่จะไปทำงาน ไม่อยากจะออกไปเผชิญกับโลกภายนอก อยากที่จะเก็บตัวอยู่ในบ้านอยู่ในที่ที่คิดว่าเรารู้สึกอบอุ่น ปลอดภัย เพราะเรามีความรู้สึกว่าบางครั้งโลกภายนอกมันช่างโหดร้ายกับเราอะไรเช่นนี้
ไม่แปลกหรอกค่ะที่เราจะเคยคิดกันแบบนี้ ความรู้สึกผิดหวังหมดกำลังใจจากงาน เจ้านาย เพื่อนร่วมงาน หรืออาจจะเป็นความผิดหวังจากคนรัก
หรือเรื่องอื่นๆ สิ่งเหล่านี้มันมีแต่จะบั่นทอนจิตใจเราแล้วถ้าเราจะปล่อยให้มันเป็นแบบนี้ไปเรื่อยๆ มันคงจะไม่มีผลดีต่อตัวเราแน่ๆเลยค่ะ แล้วถ้าเราอยากจะทำให้เรารู้สึกดีขึ้นเข้มแข็งขึ้นเราลองมาฝึกคิดและทำตามวิธีเหล่านี้ดูนะคะ
ไม่แปลกหรอกค่ะที่เราจะเคยคิดกันแบบนี้ ความรู้สึกผิดหวังหมดกำลังใจจากงาน เจ้านาย เพื่อนร่วมงาน หรืออาจจะเป็นความผิดหวังจากคนรัก
หรือเรื่องอื่นๆ สิ่งเหล่านี้มันมีแต่จะบั่นทอนจิตใจเราแล้วถ้าเราจะปล่อยให้มันเป็นแบบนี้ไปเรื่อยๆ มันคงจะไม่มีผลดีต่อตัวเราแน่ๆเลยค่ะ แล้วถ้าเราอยากจะทำให้เรารู้สึกดีขึ้นเข้มแข็งขึ้นเราลองมาฝึกคิดและทำตามวิธีเหล่านี้ดูนะคะ
1. เราอาจจะต้องระบายมันออกมา ร้องไห้ ร้องมันออกมาถ้ามันจะช่วยให้เราได้ปลดปล่อย หาใครสักคนที่เรารู้สึกว่าไว้ใจและสบายใจที่เราจะเล่าเรื่องราวของเราให้เขาหรือเธอฟัง
อย่าเก็บกดความรู้สึกนั้นไว้ภายในใจต้องหาที่ระบาย แต่ไม่แนะนำให้ไประบายความรู้สึกลงในเฟสบุ๊คแล้วด่า หรือประจานคนที่เขาทำให้เราเจ็บนะคะ
วิธีนี้นอกจากจะไม่ช่วยอะไรแล้วมันยังอาจจะทำให้เราหงุดหงิดเพราะเกิดเราโพสต์แล้วมีคนอื่นที่เขาเป็นเพื่อนร่วมกันระหว่างเรากับคนนั้นเข้ามาเม้นท์ใม่เห็นด้วยกับเรา
หรือถ้าเราโพสต์ด่าเจ้านาย บางทีถึงเราไม่ได้เป็นเพื่อนกับเจ้านายในเฟสบุ๊คแต่มันก็อาจบังเอิญมีคนที่เป็นเพื่อนกับกับเราและเจ้านายเรามาเห็น แล้วเขาอาจจะเอาโพสต์นั้นไปให้เจ้านายเราดู เพราะว่าโลกมันแคบค่ะ เรื่องแบบนี้ต้องระวังไว้ก่อนนะคะ
อย่าเก็บกดความรู้สึกนั้นไว้ภายในใจต้องหาที่ระบาย แต่ไม่แนะนำให้ไประบายความรู้สึกลงในเฟสบุ๊คแล้วด่า หรือประจานคนที่เขาทำให้เราเจ็บนะคะ
วิธีนี้นอกจากจะไม่ช่วยอะไรแล้วมันยังอาจจะทำให้เราหงุดหงิดเพราะเกิดเราโพสต์แล้วมีคนอื่นที่เขาเป็นเพื่อนร่วมกันระหว่างเรากับคนนั้นเข้ามาเม้นท์ใม่เห็นด้วยกับเรา
หรือถ้าเราโพสต์ด่าเจ้านาย บางทีถึงเราไม่ได้เป็นเพื่อนกับเจ้านายในเฟสบุ๊คแต่มันก็อาจบังเอิญมีคนที่เป็นเพื่อนกับกับเราและเจ้านายเรามาเห็น แล้วเขาอาจจะเอาโพสต์นั้นไปให้เจ้านายเราดู เพราะว่าโลกมันแคบค่ะ เรื่องแบบนี้ต้องระวังไว้ก่อนนะคะ
2. ลองมองปัญหานั้นในมุมที่กว้างออกไปเช่น สิ่งที่เรากำลังกลัดกลุ้มอยู่ตอนนี้มันจะส่งผลกระทบต่อเรานานแค่ไหน เป็นอาทิตย์ เป็นเดือน เป็นปี หรือน่าจะสักพักใหญ่?
การถามคำถามนี้จะทำให้เรากลับสู่โลกแห่งความเป็นจริง
ลองหันไปมองคนอื่นๆที่เขาอาจจะเผชิญกับสิ่งที่แย่ยิ่งกว่าเราเช่น คนที่บ้านถูกน้ำท่วม หรือไฟไหม้ คนจรจัดไม่มีบ้าน
ขอทาน คนขายพวงมาลัย ขายหนังสือพิมพ์ตามท้องถนน เด็กที่อดอยาก และอื่นๆ
การถามคำถามนี้จะทำให้เรากลับสู่โลกแห่งความเป็นจริง
ลองหันไปมองคนอื่นๆที่เขาอาจจะเผชิญกับสิ่งที่แย่ยิ่งกว่าเราเช่น คนที่บ้านถูกน้ำท่วม หรือไฟไหม้ คนจรจัดไม่มีบ้าน
ขอทาน คนขายพวงมาลัย ขายหนังสือพิมพ์ตามท้องถนน เด็กที่อดอยาก และอื่นๆ
3. สร้างความรู้สึกขอบคุณในสิ่งดีๆที่เรามี แน่นอนว่ามันคงจะเป็นการยากที่จะทำให้เรารู้สึกดีต่อตัวเราในภาวะเช่นนี้ แต่แทนที่เราจะมัวแต่คิดจมปักกับสิ่งที่เราคาดหวังแล้วมันไม่เป็นไปดังใจหวัง ตรงข้ามให้เราลองลิสต์ถึงสิ่งดีๆที่เรามีในชีวิตเราเช่น เรามีบ้านให้ซุกหัวนอน มีรถขับ มีงานทำ มีครอบครัวที่อบอุ่น มีเพื่อนที่ดี มีสุขภาพดี หรือความสามารถพิเศษของเราที่โดดเด่น มีน้องหมาที่แสนจะซื่อสัตย์คอยรอรับเวลาที่เรากลับเข้าบ้าน และอื่นๆ
เราควรที่จะคิดขอบคุณในสิ่งที่เรามีมากกว่าที่จะไปคิดผิดหวังท้อแท้ในสิ่งที่เราไม่ได้ การที่เราลิสต์ถึงสิ่งดีๆที่เรามีจะทำให้เราพบว่าเรามีสิ่งทีดีในชีวิตมากกว่าสิ่งที่แย่
เราควรที่จะคิดขอบคุณในสิ่งที่เรามีมากกว่าที่จะไปคิดผิดหวังท้อแท้ในสิ่งที่เราไม่ได้ การที่เราลิสต์ถึงสิ่งดีๆที่เรามีจะทำให้เราพบว่าเรามีสิ่งทีดีในชีวิตมากกว่าสิ่งที่แย่
4. หาช่วงเวลาเยียวยา ด้วยการพักผ่อน
เราต้องไม่ปล่อยให้ตัวเองจมปักอยู่กับความทุกข์แล้วคิดวนไปวนมากับปัญหาเหมือนกับภายเรือในอ่าง
แต่เราอาจจะต้องการช่วงเวลาที่เราต้องการหลบเลียแผล เช่นออกไปเดินสูดอากาศในชายหาดสักที่ หรือขึ้นเขาไปชื่นชมธรมมชาติ ฟังเพลงที่เราชื่นชอบ หรือการเขียนระบายความรู้สึกลงในบล็อกส่วนตัว หรือในสมุดบันทึก การวาดภาพ มีศิลปินที่มีชื่อเสียงหลายคนเกิดขึ้นมาเพราะว่าเกิดจากความผิดหวังในชีวิตแล้วระบายความรู้สึกลงในภาพวาด เขียนเนื้อเพลง บทกวีหรือนวนิยาย ไม่แน่เราอาจจะเป็นคนหนึ่งในนั้นที่จะสามารถพลิกวิกฤตในชีวิตให้เป็นโอกาส
เราต้องไม่ปล่อยให้ตัวเองจมปักอยู่กับความทุกข์แล้วคิดวนไปวนมากับปัญหาเหมือนกับภายเรือในอ่าง
แต่เราอาจจะต้องการช่วงเวลาที่เราต้องการหลบเลียแผล เช่นออกไปเดินสูดอากาศในชายหาดสักที่ หรือขึ้นเขาไปชื่นชมธรมมชาติ ฟังเพลงที่เราชื่นชอบ หรือการเขียนระบายความรู้สึกลงในบล็อกส่วนตัว หรือในสมุดบันทึก การวาดภาพ มีศิลปินที่มีชื่อเสียงหลายคนเกิดขึ้นมาเพราะว่าเกิดจากความผิดหวังในชีวิตแล้วระบายความรู้สึกลงในภาพวาด เขียนเนื้อเพลง บทกวีหรือนวนิยาย ไม่แน่เราอาจจะเป็นคนหนึ่งในนั้นที่จะสามารถพลิกวิกฤตในชีวิตให้เป็นโอกาส
5. รู้จักที่จะยอมรับกับความจริง ในเมื่อมันเกิดขึ้นแล้วเราคงจะไม่สามารถเปลี่ยนแปลงอะไรได้ แล้วเราก็ไม่ควรที่จะมานั่งจมปลักกับความคิดที่ว่าโลกนี้ช่างไม่ยุติธรรมเอาซะเลย ทำไมเราต้องมาเจอกับอะไรที่เลวร้ายแบบนี้
แต่ในเมื่อมันเกิดขึ้นแล้วแล้วเราก็เปลี่ยนแปลงอะไรไม่ได้ แล้วมันก็กลายเป็นอดีตไปแล้ว แต่ขณะนี้เรากำลังอยู่กับปัจจุบัน
ถ้าเราไม่ปล่อยให้อดีตผ่านไปเราก็จะไม่มีวันที่จะมองเห็นอนาคตข้างหน้า ถ้าสามีหรือภรรยานอกใจแน่นอนว่ามันไม่ใช่เรื่องที่จะทำใจยอมรับได้ในช่วงเวลาค่ำคืน แต่เราต้องมีวิธีคิดที่จะนำเราออกไปจากความทุกข์ที่เราแบกรับมันไว้ตอนนี้
6. หาแรงบันดาลใจด้วยการอ่านเรื่องราวของคนที่เขาต้องฝ่าฟันอุปสรรคทำแล้วประสบความสำเร็จในชีวิต
นักเขียนที่ได้รับรางวัโนเบล ชื่อ อลิส มันโร กว่าหนังสือของเธอจะได้รับการตีพิมพ์ก็ปาเข้าไปตอนเธออายุ 37!
สตีฟ จ๊อป เรียนไม่จบมหาวิทยาลัย โทมาสเอดิสันต้องล้มเหลวเป็นพันๆครั้งกว่าจะคิดค้นสำเร็จ ผู้พันแซนเดอร์ผู้ก่อตั้งเคเอฟซี ถูกปฏิเสธสูตรไก่ทอดที่เขานำไปเสนอถึง1,009 ครั้ง ทุกคนที่กล่าวมายังไม่รวมคนอื่นๆที่กว่าเขาจะจะไปถึงเส้นชัยพวกเขาต้องล้มเหลวหลายครั้งหลายหน
หรือหาคติประจำใจที่โดนๆมาไว้เตือนสติและให้กำลังใจตัวเอง คนที่เขาคิดคติคำคมออกมาทุกคนล้วนผ่านร้อนผ่านหนาวมากันทั้งนั้นค่ะ การอ่านคติคำคมเหล่านี้ก็จะช่วยให้เราเรียนรู้เรื่องราวชีวิตได้ค่ะ
สุดท้ายจงเรียนรู้ที่จะขอบคุณอุปสรรคที่เข้ามาในชีวิตเราเพราะว่ามันจะช่วยสร้างเราให้เข้มแข็งขึ้น
ขอส่งกำลังใจให้เพื่อนๆทุกคนนะคะ ถ้ารู้สึกท้อแท้ก็แวะเข้ามาเติมกำลังใจที่นี่นะคะ หรือถ้ามีเรื่องราวที่อยากจะแบ่งปันก็เชิญนะคะเม้นท์เรื่องราวของคุณได้เลยค่ะ เรามาช่วยกันสร้างกำลังใจให้กันและกันนะคะ