เวปไซด์คำคมภาษาอังกฤษแปลไทยที่รวบรวมคำคมไว้ครบทุกหมวดหมู่จากบุคคลที่มีชื่อเสียงระดับโลก
แสดงบทความที่มีป้ายกำกับ เรื่องราวที่จะช่วยสร้างแรงบันดาลใจ แสดงบทความทั้งหมด
แสดงบทความที่มีป้ายกำกับ เรื่องราวที่จะช่วยสร้างแรงบันดาลใจ แสดงบทความทั้งหมด
วันพฤหัสบดีที่ 16 สิงหาคม พ.ศ. 2561
ในวันที่ชีวิตต้องเจอกับวิกฤต เธอเลือกที่จะสร้างมันให้เป็นโอกาส
เรามักจะยึดติดกับความเคยชินเพราะว่ามันเป็นสิ่งที่ทำให้เรารู้สึกว่าเราปลอดภัย สะดวกสบาย หรือสบายใจไม่ว่าจะเป็นความเคยชินในการใช้ชีวิตอยู่อย่างพร้อมหน้าพร้อมตากับสมาชิกในครอบครัวเรา หรือถ้าคนโสดอาจจะเคยชินกับการใช้ชีวิตอยู่ร่วมห้องเช่า หรือบ้านเช่ากับเพื่อน ในด้านการงานเราก็มักจะยึดติดกับความเคยชินกับตัวงาน เนื้องาน สถานที่ หัวหน้า เพื่อนร่วมงาน และอื่นๆ ความเคยชินนี้มันทำให้เรายึดติดจนลืมนึกถึงมันไปว่าสิ่งต่างๆในโลกนี้ไม่มีอะไรที่จีรังยั่งยืน เราจะมารู้ตัวอีกทีก็ต่อเมื่อมันเกิดเหตุการณ์ทีทำให้เกิดการเปล่ียนแปลง หรือมีผลกระทบต่อชีวิตเรา
แอนเธอแต่งงานมาได้ยี่สิบสามปี จนกระทั่งวันหนึ่งเธอจับได้ว่าสามีของเธอมีชู้ สิ่งที่แย่ไปกว่านั้นคือสามีของเธอเลือกผู้หญิงคนใหม่ เขาขอหย่าจากเธอ แอนทำอะไรไม่ถูกเธอรู้สึกเหมือนชีวิตของเธอพังทลายเพราะว่า
ในชีวิตของเธอมีแต่สามีของเธอคนเดียวที่เป็นทุกสิ่งทุกอย่างของเธอ แอนแต่งงานตั้งแต่เธออายุ22ปีซึ่งขณะนั้นเธอก็ยังเพิ่งเรียนจบและก็ไม่เคยได้ทำงาน เพราะว่าสามีของเธอให้เธออยู่บ้าน ดูแลบ้าน ดูแลลูก
ซึ่งลูกชายคนเดียวของเธอก็โตแล้ว เขากำลังศึกษาอยู่ในระดับมหาวิทยาลัย นานๆทีถึงจะกลับบ้านเพราะว่าเขาพักอยู่ในหอพักของมหาวิทยาลัย เธออายุ45ปี ไม่เคยมีประสบการณ์การทำงานมาเลยในชีวิต การที่เธอต้องมาตกอยู่ใสภาพนี้เป็นสิ่งที่หนักหนาสาหัสมากสำหรับเธอ
จากวันเป็นอาทิตย์ จากอาทิตย์เป็นเดือน และจากเดือนเป็นปี แอนค่อยๆปรับตัวและในที่สุดก็ยอมรับความจริงในสิ่งที่เกิดขึ้น เธอค้นพบว่าเธอเหมือนมีชีวิตใหม่ และเป็นชีวิตทีน่าตื่นเต้น น่าค้นหา เธอได้งานทำ
มีเพื่อนใหม่ มีสังคมการทำงานซึ่งเธอไม่เคยมีมาก่อนในชีวิตของเธอ เธอเดินทางท่องเที่ยวทั้งในประเทศและต่างประเทศทุกครั้งที่เธอมีโอกาส และสิ่งที่มันดีที่สุดสำหรับเธอก็คือการที่เธอได้รู้จักตัวเธอเอง การที่เธอได้ใช้เวลาอยู่กับตัวเองมันทำให้เธอได้ค้นพบสิ่งที่เป็นความชอบ ความหลงไหล เธอค้นพบว่าเธอชอบการเขียนหนังสือ เธอเริ่มจากการโพสต์เรื่องราวของเธอลงในเวปไซด์ ซึ่งสิ่งที่เธอเขียนมันเป็นการเขียนจากความรู้สึก
จากก้นบึ้งของหัวใจเธอ มันส่งผลให้มีคนติดตามอ่านโพสต์ของเธอมากมาย จนในที่สุดสำนักพิมพ์แห่งหนึ่ง
ได้ติดต่อให้เธอมาร่วมงาน ตอนนี้แอนกลายเป็นคอลัมนิสต์ของนิตยสารชื่อดังแห่งหนึ่ง และเธอเองก็ยังมี
บลอกส่วนตัวของเธอ ที่เขียนบอกเล่าเรื่องราวที่จะช่วยสร้างแรงบันดาลใจให้กับผู้อ่าน นอกจากนี้เธอยังเป็นนักพูดที่จะช่วยสร้างแรงบันดาลใจ หลังจากภาวะวิกฤตมันทำให้เธอค้นพบว่าการได้ช่วยสร้างกำลังใจให้ผู้ที่กำลังอยู่ในความทุกข์มันช่วยทำให้ชีวิตของเธอมีค่ามีความหมาย
ไม่มีใครที่อยากจะเจอกับอุปสรรคในชีวิต แต่ชีวิตมันไม่ได้ราบเรียบเสมอไป แต่หากเราเรียนรู้ที่จะพลิกวิกฤต
ให้เป็นโอกาส ด้วยการเปลียนวิธีคิด เปลี่ยนมุมมองต่อโลกใหม่ เรียนรู้ที่จะยอมรับกับการเปลี่ยนแปลงแล้วก็
เปิดโอกาสให้ตัวเองกับโอกาสใหม่ๆ ชีวิตมันก็เหมือนกับหนังสือที่เราอ่าน บางบทอาจสุข บางตอนเศร้า บางตอนตื่นเต้น แต่ถ้าเราไม่ยอมพลิกไปอ่านหน้าใหม่ ตอนใหม่เราก็ไม่มีทางที่จะรู้ว่า บทต่อไปมันมีอะไรให้เราค้นหา บางทีเรื่องราวในบทใหม่ ตอนใหม่อาจจะมีเรื่องราวที่มีความสุข ความตื่นเต้น ความสนุกสนานมากกว่าตอนเก่าก็ได้
คำคมชีวิตภาษาอังกฤษ
"Life is like a book, some chapters are sad, some happy and some exciting. If you never turn the page, you will never know what the next chapter holds.
-Unknown
วันอาทิตย์ที่ 5 สิงหาคม พ.ศ. 2561
ในวันที่ฉันพร้อมที่จะเผชิญกับความเจ็บปวด
เราทุกคนต่างก็มีเรื่องราวในอดีตกันทั้งนั้น มีทั้งเรื่องราวที่มีความสุขและเรื่องราวทีเจ็บปวด
ตัวฉันเองก็เช่นกันฉันก็เคยผ่านเรื่องราวเหล่านี้มามากมาย
ซึ่งมีหลายๆครั้งฉันอดที่จะหวนคิดไปถึงเรื่องราวที่ผ่านมาไม่ได้ โดยเฉพาะเรื่องราวที่ฉันเคยเจ็บปวดรวดร้าว
ฉันเคยเป็นเหมือนเนื้อเพลงนี้เลย
"หากจะตายก็ตายไปแล้ว
เจ็บอีกทีจะสักเท่าไร เท่าไร
ใจมันเจ็บมาแล้วกี่ครั้ง
จะช้ำแค่ไหนไม่เห็นมันตายสักที
หนักกว่าเธอก็เจอมาแล้ว
แต่ก็ทนมาได้ทุกที ทุกที
ใจมันแกร่งและพร้อมจะรับ
คราวนี้ ฉันคงไม่ตาย
ใจมันแกร่งและพร้อมจะรับ
คราวนี้ ฉันคงไม่ตาย"
ใช่ตัวฉันเคยเป็นแบบเนื้อเพลงนี้จริงๆ ฉันปล่อยให้ตัวเอง เจ็บแล้วเจ็บอีกกับผู้ชายคนเดิมๆ
ฉันปล่อยให้เขาทำร้ายจิตใจฉันครั้งแล้วครั้งเล่า เมื่อฉันรู้สึกเศร้ามากๆ
ฉันจะทำให้ตัวเองหายเศร้าด้วยการพยายามเบี่ยงเบนความรู้สึกที่ตัวเองเป็นอยู่ไม่ว่าจะเป็นการอยู่ทำโอที
กระะหน่ำกิน กระหน่ำเที่ยว กระหน่ำชอบปิ้ง กระหน่ำออกกำลังกาย หรือแม้กระทั่งเมาหัวราน้ำ
ฉันไม่คิดที่จะยอมรับกับความเจ็บปวดแต่ฉันเลือกที่จะเพิกเฉย และเบี่ยงเบนความรู้สึกเหล่านั้น
ด้วยการทำกิจกรรมดังที่กล่าวมา
ฉันปล่อยให้เขาทำร้ายจิตใจฉันครั้งแล้วครั้งเล่า เมื่อฉันรู้สึกเศร้ามากๆ
ฉันจะทำให้ตัวเองหายเศร้าด้วยการพยายามเบี่ยงเบนความรู้สึกที่ตัวเองเป็นอยู่ไม่ว่าจะเป็นการอยู่ทำโอที
กระะหน่ำกิน กระหน่ำเที่ยว กระหน่ำชอบปิ้ง กระหน่ำออกกำลังกาย หรือแม้กระทั่งเมาหัวราน้ำ
ฉันไม่คิดที่จะยอมรับกับความเจ็บปวดแต่ฉันเลือกที่จะเพิกเฉย และเบี่ยงเบนความรู้สึกเหล่านั้น
ด้วยการทำกิจกรรมดังที่กล่าวมา
ซึ่งจริงๆแล้วมันไม่ใช่วิธีการที่ถูกต้องเพราะว่าการที่ฉันไม่ยอมเผชิญกับความเจ็บปวดแต่เลือกที่จะเพิกเฉย
และเบี่ยงเบนความรู้สึก มันไม่ได้ช่วยให้ความเจ็บปวดเหล่านั้นหายหรือทุเลา
มันแค่ช่วยให้ฉันหายเจ็บเพียงช่วงครู่แต่จริงๆแลวความจ็บปวดนั้นมันยังคงฝังอยู่ลึกๆในใจนั่นแหละ
จากวันนั้นถึงวันนี้มันทำให้ฉันได้เรียนรู้ว่า การที่เราเกิดมาเป็นมนุษย์เราเลี่ยงไม่ได้ที่จะต้องเผชิญ
กับความเจ็บปวดในชีวิต
ไม่ด้านไดก็ด้านหนึ่ง เรามักจะไม่ค่อยสมหวังในสิ่งที่เราคาดหวัง
บางครั้งเราอาจจะต้องพบกับความสูญเสียสิ่งที่เรารัก
เราเลือกได้ที่จะไม่ปล่อยให้ตัวเองต้องจมอยู่กับความเจ็บปวด ความทุกข์ที่เกิดขึ้น
ด้วยการเลือกที่จะเผชิญหน้าและยอมรับความจริงที่เกิดขึ้นว่ามันทำให้เราเจ็บ
มันทำให้เราทุกข์ และเมื่อยอมรับกับมันแล้วเราก็ต้องปล่อยมันไป
เราต้องไม่ปล่อยใจเราให้จมปลักและคิดถึงมันในทางที่แย่
เราต้องเลือกคิดที่จะให้ความเจ็บปวดเหล่านี้ช่วยสอนบทเรียนอันล้ำค่าให้แก่ชีวิตเรา
ไม่ใช่เลือกที่จะให้มันทำลายเรา
กับความเจ็บปวดในชีวิต
ไม่ด้านไดก็ด้านหนึ่ง เรามักจะไม่ค่อยสมหวังในสิ่งที่เราคาดหวัง
บางครั้งเราอาจจะต้องพบกับความสูญเสียสิ่งที่เรารัก
เราเลือกได้ที่จะไม่ปล่อยให้ตัวเองต้องจมอยู่กับความเจ็บปวด ความทุกข์ที่เกิดขึ้น
ด้วยการเลือกที่จะเผชิญหน้าและยอมรับความจริงที่เกิดขึ้นว่ามันทำให้เราเจ็บ
มันทำให้เราทุกข์ และเมื่อยอมรับกับมันแล้วเราก็ต้องปล่อยมันไป
เราต้องไม่ปล่อยใจเราให้จมปลักและคิดถึงมันในทางที่แย่
เราต้องเลือกคิดที่จะให้ความเจ็บปวดเหล่านี้ช่วยสอนบทเรียนอันล้ำค่าให้แก่ชีวิตเรา
ไม่ใช่เลือกที่จะให้มันทำลายเรา
เราสามารถเลือกที่จะเฝ้าระวังความคิดของเราไม่ให้ติดกับดักเดิมๆ การที่เราคิดถึงแต่สิ่งเดิมๆ
มันก็เหมือนเราเปิดเพลงเดิมซ้ำไปซ้ำมา เราต้องรู้จักที่จะปล่อยมันไปแล้วก็เริ่มต้นใหม่
การพาตัวเราเองออกจากกับดักความคิดแย่ๆนี้มีวิธีการหนึ่งที่จะช่วยเราได้ดีก็คือ
การนั่งสมาธิหากนั่งไม่ได้ก็ใช้การเดินจงกรม หรือไม่ก็นั่งเฉยๆในบรรยากาศที่เงียบสงบมากพอด้วยการตั้งสติ
เพ่งไปที่ลมหายใจเข้าออก หากเมื่อไหร่ที่ใจเราวอกแวกคิดถึงเรื่องราวที่ผ่านมาก็ให้สังเกตุความคิด
แล้วตั้งชื่อให้กับมัน เช่นถ้าเราฟุ้งซ่านก็ตั้งชื่อมันว่า ฟุ้งซ่านหนอ หากเราคิดว่าเราเจ็บก็
เจ็บหนอๆ
เฝ้าระวังความคิดของเราไปเรื่อยๆแล้วมองความคิดที่แวบเข้ามา แล้วตั้งชื่อให้มัน มองมันในแบบที่มันเป็น
แล้วก็ดึงสติกลับมาเพ่งที่ลมหายใจเข้าออกทำแบบนี้ไปเรื่อยๆให้เคยชิน
แล้วเราก็จะค้นพบว่ามันก็แค่ความรู้สึกแค่นั้นเอง
มันก็เหมือนเราเปิดเพลงเดิมซ้ำไปซ้ำมา เราต้องรู้จักที่จะปล่อยมันไปแล้วก็เริ่มต้นใหม่
การพาตัวเราเองออกจากกับดักความคิดแย่ๆนี้มีวิธีการหนึ่งที่จะช่วยเราได้ดีก็คือ
การนั่งสมาธิหากนั่งไม่ได้ก็ใช้การเดินจงกรม หรือไม่ก็นั่งเฉยๆในบรรยากาศที่เงียบสงบมากพอด้วยการตั้งสติ
เพ่งไปที่ลมหายใจเข้าออก หากเมื่อไหร่ที่ใจเราวอกแวกคิดถึงเรื่องราวที่ผ่านมาก็ให้สังเกตุความคิด
แล้วตั้งชื่อให้กับมัน เช่นถ้าเราฟุ้งซ่านก็ตั้งชื่อมันว่า ฟุ้งซ่านหนอ หากเราคิดว่าเราเจ็บก็
เจ็บหนอๆ
เฝ้าระวังความคิดของเราไปเรื่อยๆแล้วมองความคิดที่แวบเข้ามา แล้วตั้งชื่อให้มัน มองมันในแบบที่มันเป็น
แล้วก็ดึงสติกลับมาเพ่งที่ลมหายใจเข้าออกทำแบบนี้ไปเรื่อยๆให้เคยชิน
แล้วเราก็จะค้นพบว่ามันก็แค่ความรู้สึกแค่นั้นเอง
สิ่งที่เกิดขึ้นมันไม่ได้แย่อย่างที่เราคิด เมื่อเรามีสติเราก็จะเกิดปัญญาสองสิ่งนี้จะช่วยทำให้เราเปลี่ยนมุมมอง
ต่อโลกใหม่ และมันก็จะช่วยทำให้เราตระหนักได้ว่า เราสามารถปล่อยมันออกไป ปล่อยความเจ็บให้มันออกไป
แค่ปล่อยมันไปอย่าแบกรับ
สามขั้นตอนการรับมือกับความเจ็บปวด
1.ปล่อยให้มันมาเยือนเราตามที่มันอยากจะมา
2.ให้มันสอนบทเรียนชีวิตแก่เรา
3.อย่าปล่อยให้มันอยู่กับเรานาน
คำคม : เราไม่สามารถที่จะหลีกเลี่ยงความเจ็บปวดในชีวิตได้ แต่เราสามารถเลือกที่จะรับมือกับมันได้
คำคมสอนคนภาษาอังกฤษ
Pain is inevitable. Suffering is optional.
-Unknown
วันพฤหัสบดีที่ 2 สิงหาคม พ.ศ. 2561
คำคมชีวิตต้องมีเป้าหมาย เป้าหมายชีวิตมันคืออะไรกันแน่?
คำคมเป้าหมายในชีวิต
เราไม่ใช่แค่มีชีวิตอยู่ไปวันๆ แต่เราต้องรู้ว่าเรามีชีวิตอยู่เพื่ออะไร
คำคมเป้าหมายชีวิตภาษาอังกฤษ
"It's not enough to have lived. We should be determined to live for something."
-Winston S. Churchill
วันพฤหัสบดีที่ 2 พฤศจิกายน พ.ศ. 2560
อย่าตกเป็นทาสของอารมณ์ : คติประจำใจ ข้อคิดชีวิต
คุณอยากจะเป็นใครระหว่างสองคนนี้
เจนนี่กับซาร่าเป็นเพื่อนรักกัน พวกเธอมักจะไปไหนมาไหนด้วยกันตลอดเวลา
แต่เธอสองคนมีนิสัยใจคอที่แตกต่างกันอย่างสิ้นเชิง
เจนนี่เป็นคนที่อารมณ์ฉุนเฉียวง่าย
เธอมักจะหัวเสียกับสิ่งเล็กๆน้อยที่เกิดขึ้นในชีวิตประจำวันอยู่เสมอ
เช่นหงุดหงิดกับรถติด หงุดหงิดกับการรอคิวในที่ต่างๆ
ไม่ชอบใจท่าทีและคำพูดของเพื่อนร่วมงาน หงุดหงิดกับคนในครอบครัว
สรุปไม่ว่าเธอจะอยู่ในบ้านหรือนอกบ้าน ไม่มีวันไหนที่เธอจะไม่มีอารมณ์ฉุนเฉียว
บางครั้งเธอถึงขนาดร้องกรี๊ดออกมาดังๆ กับสิ่งที่ทำให้เธอโมโห เธอปล่อยให้อารมณ์ของเธอแปรผันไปตามสถานการณ์ที่เกิดขึ้นในชีวิตประจำวัน
ตรงกันข้ามกับซาร่าที่เธอไม่เคยปล่อยให้สิ่งเล็กๆน้อยๆเหล่านี้มามีผลกระทบต่อเธอ
เธอเลือกที่จะใช้ชีวิตให้มีความสุขด้วยการมองข้ามสิ่งเหล่านี้ไป
ถ้าตอนนี้คุณกำลังเป็นเจนนี่คุณมีทางเลือกที่จะช่วยคุณได้
แต่คำตอบมันขึ้นอยู่กับตัวคุณว่าคุณเลือกที่จะควบคุมอารมณ์หรือปล่อยให้มันควบคุมชีวิตของคุณ มีคนเขียนหนังสือเกี่ยวกับการควบคุมและบริหารอารมณ์มากมาย
แต่ก็ยังมีผู้คนอีกมากมายที่ยังไม่สามารถรับมือกับมันได้ เพราะอะไร?
คำตอบก็คือการบริหารอารมณ์ให้ได้ประสิทธิภาพนั้นมันต้องอาศัยการพัฒนาทักษะและทำให้มันชินจนกลายเป็นนิสัย
มันไม่ใช่อะไรที่จะเปลี่ยนได้ภายในชั่วเวลาข้ามคืน
ซึ่งเป็นสิ่งที่ยากเพราะคนเรามักจะมีปัญหาเสมอเวลาที่จะต้องปรับเปลี่ยนพฤติกรรมที่เราเคยชินกับมันมาแทบจะตลอดชีวิต
และมันจะยิ่งยากมากขึ้นถ้าเราจะต้องมาแก้ไขความรู้สึกภายในอย่างเรื่องของอารมณ์ และเวลาที่เรากำลังโมโห ส่วนมากเราพร้อมที่จะระเบิดมันออกมาทันทีมากกว่าการมีสติคิดที่จะท่องนับหนึ่งในใจเพื่อทำให้ใจสงบ
แต่ถ้าเรารู้จักเรียนรู้ภาวะของอารมณ์
มันจะเป็นประโยชน์ต่อชีวิตของเราได้มาก
การเรียนรู้เกี่ยวกับการควบคุมอารมณ์อาจจะจัดได้ว่าเป็นการพัฒนาทักษะที่ดีที่สุดเท่าที่เราเคยผ่านมาในชีวิตของเรา
อารมณ์เป็นสิ่งที่นำพาให้ตัวเราแสดงพฤติกรรมออกมา ทุกๆสิ่งที่เรากระทำในชีวิตคือผลจากอารมณ์นำพา
ซีกสมองของคนเราในส่วนของอารมณ์จะมีอำนาจสั่งการที่แข็งแกร่งมากกว่าส่วนของความคิด
ดังนั้นจะมี วลีเด็ดที่กล่าวว่า อารมณ์สามารถปล้นความคิดได้
แต่เราก็มีวิธีที่จะบริหารมัน ลองมาดูกันค่ะว่าเราจะทำได้อย่างไร
การที่เราเพิกเฉยและเก็บกดความรู้สึกมันไม่ได้ช่วยให้ดีขึ้นเลย
ตรงข้ามมันกลับจะย้อนมาทำร้ายเรา
การที่เรารู้สึกกังวลและเครียดผลมันมาจากการที่เราเก็บกดอารมณ์หรือความรู้สึกที่เรามี
การเก็บกดมันไว้เป็นวิธีการที่ผิด
นี่คือขั้นตอนที่จะทำให้เราควบคุมอารมณ์ได้อย่างมีประสิทธิภาพ
หนึ่ง คือการเฝ้าระวัง
ถ้าเราไม่เฝ้าระวัง หรือสังเกตุอารมณ์ของเรา มันจะส่งผลให้เราตอบสนองต่อความรู้สึกที่เรามีทันที
ดังนั้นการหมั่นสังเกตุอารมณ์จะทำให้เรารับมือกับอารมณ์ของเราได้ดีมากขึ้น
อาจจะตั้งชื่อให้มันก็ได้เช่น
เรากำลังรู้ตัวว่าจะเริ่มโกรธแล้วนะก็อาจเรียกชื่อมันว่า
ไอ้โกรธมันกำลังมาหาเราแล้วนะ เราต้องรับมือกับมัน
สอง คือการค้นหาสาเหตุแห่งที่มาของอารมณ์
จากการที่เราเฝ้าสังเกตุอารมณ์ มันทำให้เรารู้ตัวว่าเรากำลังโกรธหรือ
กำลังเศร้า แล้วต่อไปคือเราต้องหาสาเหตุของมันว่าเป็นเพราะอะไร แน่นอนว่ามันคงจะมีสาเหตุร้อยแปดประการ
แต่เราต้องถามตัวเราเองว่าทำไมเราถึงรู้สึกแบบนี้ มันเป็นเพราะอะไร? ซึ่งในขณะนั้นสมองเราก็จะครุ่นคิดหาคำตอบให้เราเช่นกัน
สามคือการหาทางแก้ไข
ทันทีที่เราค้นพบมันได้มันจะทำให้เราสามารถควบคุมมันได้
บางทีเราอาจจะแค่เปลี่ยนวิธีคิดกับสถานการณ์ที่เราเจอ ความคิดเราจะนำพาความรู้สึกที่เรามีได้ทันที
ถ้าเราคิดลบๆ มันก็จะส่งผลให้เรารู้สึกแย่ทันที
ซึ่งส่วนใหญ่ความรู้สึกแย่มักจะมาจากความคิดลบ
ถ้าเราพยายามหาแนวทางแก้ไขในสถานการณ์ที่เราเจอด้วยการปรับเปลี่ยนความคิดให้เป็นแง่บวก
มันก็จะส่งผลให้เรารู้สึกดีขึ้นมาทันที บางครั้งการทำความเข้าใจกับสิ่งที่เกิดขึ้น
ณช่วงเวลานั้นๆมันจะส่งผลให้เรารู้สึกดีเพราะว่าความเข้าใจจะทำให้อารมณ์สงบลง
สี่คือการเลือกที่จะตอบสนอง
ขั้นตอนนี้เป็นสิ่งที่ยากที่สุด
เพราะว่าปฏิกิริยาที่เราโต้ตอบออกไปมันมักจะมาจากพื้นฐานนิสัยส่วนตัวที่เรามีมา
คุณเคยเห็นไหมคนที่โอเวอร์แอคติ้ง หรือว่าโมโหฉุนเฉียวกับเรื่องที่ไม่ควรจะทำให้มันเป็นเรื่องขึ้นมาได้
นั่นเป็นพราะว่าคน คนนั้นเขากำลังถูกอารมณ์ปล้นความคิด ทำให้สติแตก
ดังนั้นจงหมั่นสังเกตุเฝ้าระวังอารมณ์ แล้วก็รับรู้อารมณ์ของเรา ณขณะนั้น
ทำความเข้าใจแล้วก็เลือกที่จะตอบสนองออกไปแบบมีสติ
มันไม่ใช่อะไรที่เราจะทำอาทิตย์ละครั้งแต่มันคือสิ่งที่เราจะต้องฝึกให้เป็นนิสัย
จงหมั่นท่องไว้เสมอว่าเราจะตกเป็นทาสของอารมณ์หรือว่า เราจะควบคุมมันอย่างมีสติ
เมื่อไหร่ตามที่เราควบคุมมันได้
มันจะทำให้เรามีความสุขมากขึ้น ไม่ทุกข์ใจไม่เครียด
เพราะว่าสถานการณ์ที่เกิดขึ้นในชีวิตมันจะไม่มีผลกระทบต่ออารมณ์ของเราอีกต่อไปเพราะว่าเราสามารถจัดการกับอารมณ์ของเราได้อย่างชาญฉลาดและมีสตินั่นเอง
คำคมภาษาอังกฤษเตือนสติตัวเองเกี่ยวกับการควบคุมอารมรณ์
Don't be a slave to your emotions. Control them.
คำคมเตือนสติตัวเองเกี่ยวกับการควบคุมอารมณ์
อย่าตกเป็นทาสของอารมณ์ เราต้องควบคุมมันให้ได้
คำคมภาษาอังกฤษเตือนสติตัวเองเกี่ยวกับการควบคุมอารมรณ์
Don't be a slave to your emotions. Control them.
คำคมเตือนสติตัวเองเกี่ยวกับการควบคุมอารมณ์
อย่าตกเป็นทาสของอารมณ์ เราต้องควบคุมมันให้ได้
วันพฤหัสบดีที่ 26 ตุลาคม พ.ศ. 2560
เรื่องเล่าสอนใจเกี่ยวกับความรัก
จอห์นกับแมรี่เพิ่งจะเดทกันได้พักหนึ่ง เขามักจะพาเธอไปกินข้าวดูหนัง ฟังเพลง หาที่นั่งคุยกันเงียบๆ
ตามประสาของหนุ่มสาวที่คบหากัน ทุกอย่างผ่านไปอย่างราบรื่น พวกเขารู้สึกพอใจกับความสัมพันธ์ที่มี ไม่มีใครเปิดใจคบคนอื่น
ตามประสาของหนุ่มสาวที่คบหากัน ทุกอย่างผ่านไปอย่างราบรื่น พวกเขารู้สึกพอใจกับความสัมพันธ์ที่มี ไม่มีใครเปิดใจคบคนอื่น
จนกระทั่งวันหนึ่ง ในขณะที่จอห์อนกำลังขับรถพาแมรี่ไปส่งที่บ้าน
แมรี่ได้ถามจอห์นว่า “คุณรู้ไหมว่า เราคบกันมาได้หกเดือนแล้วนะ” ความเงียบปกคลุมไปทั่วรถ
แต่แมรี่รู้สึกเหมือนกับว่ามันเป็นความเงียบที่เป็นสัญญาณบ่งบอกให้เธอรู้ว่า
เธอพลาดไปแล้วที่ไปถามคำถามนี้กับเขา
เธอคิดว่าเขาอาจจะรู้สึกลำบากใจและมันอาจจะเป็นเหมือนกับการไปต้อนเขาให้จนมุม
เขาอาจจะรู้สึกว่ามันเป็นการบังคับเขาทางอ้อมให้ตอบคำถามในเรื่องความสัมพันธ์ระหว่างเธอกับเขา
ซึ่งสำหรับเธอแล้วเธอคิดว่าเธอต้องการความชัดเจนเธอจึงตัดสินใจพูดออกไปแบบนั้น
ในขณะนั้นจอห์นก็คิดในใจว่า นี่มันผ่านไปหกเดือนแล้วเหรอนี่?
ส่วนแมรี่ก็คิดว่า นี่เราต้องการสัมพันธ์ที่มันไม่ชัดเจนแบบนี้ไหม?
เราต้องการสร้างครอบครัว และพร้อมที่จะใช้ชีวิตกับผู้ชายคนนี้ตลอดชีวิตไหม?
แต่ว่าเราก็ยังไม่รู้จักเขาดีพอเลย? ในขณะเดียวกัน จอห์อนก็คิดว่า
เราเริ่มคบกันตอนเดือนกุมพาพันธ์ ถ้ามันผ่านไปหกเดือน ตอนนั้นเราก็เพิ่งเอารถออกมาจากศูนย์
แสดงว่า รถเราเลยกำหนดถ่ายน้ำมันเครื่องมาแล้ว ชิบหายหล่ะกู! ขณะที่เขาคิดหน้าเขาก็บูดบึ้ง เพราะว่าเคืองตัวเองที่ลืมเรื่องถ่ายน้ำมันไปได้
แมรี่เห็นจอห์นทำหน้าบึ้ง เธอก็คิดว่า นี่เขากำลังโกรธเรา
เขาต้องไม่พอใจคำถามของเราแน่ๆ แต่บางทีฉันอาจจะอ่านเขาผิดไปก็ได้
เขาอาจจะต้องการให้ความสัมพันธ์มันพัฒนาไปมากกว่านี้
เขาอาจจะอยากใช้เวลาอยู่ใกล้ชิดกับเรา เขาอาจจะคิดว่าเรากำลังจะบอกเลิกกับเขา
เขาคงจะกลัวการบอกเลิก ขณะที่จอห์นก็คิดว่า
เราจะต้องกลับไปที่ศูนย์อีกรอบ คราวนี้จะให้ช่างดูระบบเกียร์ให้อีกรอบ
รู้สึกว่าเวลาเข้าเกียร์มันยังไม่ไหลรื่นเหมือนปกติ แต่คราวหน้าถ้าพวกช่างเฮงซวยนั่นมันเอาอากาศหนาวมาเป็นข้ออ้างอีกละก็
มึงเจอกูแน่ๆ เพราะตอนนี้มันไม่ใช่หน้าหนาว แม่งเสียเงินไปตั้งเกือบสองหมื่น
ในขณะเดียวกันแมรี่ก็คิดว่า เขาคงจะโกรธเราจริงๆ
แต่ฉันไม่โทษเขาหรอกเป็นใครก็ต้องโกรธนะ เจอคำถามแบบนี้ เป็นเพระเราแท้ๆเลย
แต่ก็ช่วยไม่ได้ ก็เราต้องการความชัดเจนนี่นา ส่วนจอห์นก็คิด แต่พวกแม่งก็ต้องอ้างอีกว่ามันพ้นระยะเวลารับประกันไปแล้ว
เพราะว่าระยะเวลารับประกันมันสามเดือน กูแม่งเซ็ง
แมรี่คิดต่อหรือว่าเราตั้งความหวังไว้สูงเกินไป
เพราะถ้าเราจะรอแต่ให้อัศวินขี่ม้าขาวมาหาเรามันจะเป็นไปได้เหรอ จริงๆแล้วตอนนี้เราก็เจอผู้ชายที่แสนดี
นั่งอยู่กับเราตอนนี้ และเขากำลังทุกข์ใจเพราะผู้หญิงที่แสนจะเอาแต่ใจอย่างเรา
ทำให้เขาต้องทุกข์ใจ เราทำตัวเหมือนเด็กมัธยม
ส่วนจอห์นก็คิดว่างั้นเราใช้ใบรับประกันยื่นก็ได้มั้ง?
แมรี่เรียก จอห์น เสียงสูง จอห์นตอบ “มีอะไรเหรอ?”
แมรี่พูดว่า “ฉันมันโง่เอง
พูดไปสะอื้นไป เพราะว่าในชีวิตจริงคงจะไม่มีอัศวิน และก็ไม่มีม้าขาวหรอก”
จอห์นพูดแบบงงๆว่า “ว่าไม่มีม้า?”
“ คุณคงจะคิดว่าฉันมันโง่มากใช่ไหม?” แมรี่พูด
จอห์นตอบว่า “ไม่ใช่อย่างนั้น
ผมแค่จะถามให้แน่ใจว่าคุณกำลังพุดถึงม้าอยู่ “
“ก็ประมาณนั้นแหละ ฉันแค่ต้องการเวลาเท่านั้นแหละ” แมรี่ตอบ
แล้วทั้งสองคนก็เงียบไปประมาณสิบห้าวินาที แล้วจอห์นก็ตัดสินใจพุดขึ้นมาก่อนว่า” ใช่ๆ “
เขาคิดว่าตอบว่าใช่คงจะเป็นคำตอบที่ปลอดภัยที่สุด
แมรี่เอื้อมแขนไปแตะเขาและพูดว่า “จอห์นคะ คุณก็รุ้สึกแบบนั้นเช่นกันใช่ไหม?”
“ รู้ สึกแบบไหนเหรอ?” เขาถาม
“ก็เกี่ยวกับเรื่องของเวลาไง” จอห์นตอบ” อ๋อใช่ครับ”
แมรี่จ้องเข้าไปในดวงตาของเขา จอห์นคิดว่า
มันช่างเป็นอะไรที่น่าอึดอัดใจอะไรเช่นนี้ เขาเริ่มประหม่า
แล้วก็ลุ้นว่าเธอจะพูดอะไรเกี่ยวกับม้าอีก แต่เขาก็รู้สึกโล่งอก เมื่อเธอพุดว่า”
ขอบคุณค่ะจอห์น”
และเขาก็พาเธอไปส่งที่บ้าน พอถึงห้องนอนแมรี่ก็ล้มตัวลงนอนบนเตียง เธอครุ่นคิดเกี่ยวกับสิ่งที่เธอคุยกับจอห์นในวันนี้
เธอรู้สึกสับสนเป็นทุกข์ เธอนอนร้องไห้ทั้งคืน ส่วนจอห์นพอไปถึงบ้านก็เปิดทีวี
ดูการแข่งขันเทนนิส ระหว่างสองนักแข่งจากทีมชาติเชค
ที่ทางสถานีโทรทัศน์เอามาฉายให้ดูซ้ำอีกรอบ นั่งดูไป กินมันฝรั่งทอดไป
ระหว่างนั้นก็คิดถึงเรื่องรถของเขาสลับไปด้วย
เขารู้สึกว่ามัน
ต้องมีอะรที่ผิดปกติแน่ๆ แต่เขาขี้เกียจคิดมาก
สำหรับแมรี่สิ่งที่เธอทำในวันรุ่งขึ้นก็คือโทรไประบายกับเพื่อนสนิทของเธอ
พวกเธอสามารถที่จะคุยเป็นห้าหกชั่วโมงเกี่ยวกับเรื่องนี้แบบเจาะลึกลงไปในรายละเอียด
วิเคราะห์คำพูดของจอห์น และคำพูดของเธอ
พวกเธอยังสามารถที่จะคุยเรื่องเดิมนี้ต่อได้อีกเป็นอาทิตย์สองอาทิตย์
แต่ก็ไม่เคยที่จะได้ข้อสรุปที่ชัดเจน
แล้วก็ไม่เคยคิดที่จะเบื่อในการที่จะพูดถึงมันอย่างซ้ำไปซ้ำมาหลายรอบ
ในขณะที่จอห์นก็ไปเล่นแรกเก็ตบอลกับเพื่อนเขาและก็เป็นเพื่อนของแมรี่ด้วย ในขณะที่เขากำลังตีลูกบอลเขาก็ถามเพื่อนเขาว่า ไบรอัน , “แมรี่เคยมีม้าด้วยเหรอ?
“
เราไม่ได้พูดถึงความคิดเห็นที่แตกต่างกัน แต่เรามาจากคนละโลกมากกว่า
คนละโลกที่มีระบบสุริยะจักรวาลที่แตกต่างกัน แมรี่ไม่สามารถที่จะสื่อสารให้จอห์นเข้าใจเธอได้เพราะว่าจอห์นไม่มีความเข้าใจในภาพรวมของความสัมพันธ์
เขามีสมองของผู้ชายที่มักจะคิดและวิเคราะห์เป็นระบบ
ซึ่งจะไม่ถนัดกับเรื่องละเอียดอ่อนเช่นความรัก ความต้องการ ความเชื่อใจ
ซึ่งผู้ชายจะถนัดในการคิดเกี่ยวกับเรื่องที่เป็นข้อมูลจริงเช่นรายรับ
ของเธอกับเขาโดยเฉลี่ย ซึ่งผู้หญิงจะมีปัญหาในการยอมรับความจริงเรื่องนี้ของผู้ชาย
ซึ่งพวกเธอจะพยายามที่จะให้ผู้ชายคิดให้ได้ในเรื่องความสัมพันธ์ระหว่างเขาและเธอ
เพราะว่าพวกเธอคิดว่า มันจะเป็นไปได้อย่างไรที่คุณไปพบไปเเจอเธอทุกวี่ทุกวัน
โดยที่จะไม่สนใจที่จะคิดถึงเรื่องความสัมพันธ์? ซึ่งพวกเธอคิดผิดถนัดเลย
จะขอยกตัวอย่างให้เห็นกันชัดๆนะ ผู้ชายเวลาที่เขาคบกับผู้หญิง
เขาจะเหมือนมดตัวหนึ่งที่เกาะอยู่ข้างบนสุดของยางวงที่ทับอยู่ข้างบนสุดของยางที่วางซ้อนเรียงกันอยู่หลังรถบรรทุก
เจ้ามดตัวนี้มันเห็นว่ามีอะไรวงใหญ่วางซ้อนกันอยู่แต่มันไม่เข้าใจว่าสิ่งนั้นมันคืออะไร
จนกระทั่งรถเริ่มเคลื่อนตัวออก แล้วยางก็จะเริ่มกลิ้ง
เจ้ามดก็จะเริ่มเฉลียวใจก็ต่อเมือมันตกลงไปอยู่ใต้ท้องยาง
แล้วมันก็ถึงจะร้องว่าเห้ยอะไรกันเนี่ย!!
ดังนั้น คุณผู้หญิง จงอย่าได้ตั้งข้อสันนิษฐานว่าผู้ชายจะเข้าใจในเรื่องควาสัมพันธ์ในแบบที่คุณเข้าใจ
ให้ลองวางแผนใหม่ด้วยการวิธีเหล่านี้ดูเช่น
"จอห์นคะช่วยส่งน้ำตาลให้ฉันหน่อยสิคะ
รู้ไหมน้ำตาลคือความหวานที่เราต้องเติมเต็มให้กันและกันนะคะ"
หรือว่า "" จอห์นตอนนี้มีคนมาจีบฉันอยู่นะ ถ้าคุณมัวแต่รีรอ ฉันจะไปกับคนอื่นแล้วนะ"
คติความรักภาษาอังกฤษ
" A great relationship is about two things: First, appreciating the similarities, and second, accepting the differences."
คติความรัก
ความสัมพันธ์ที่ยั่งยืนประกอบด้วยสองสิ่ง
หนึ่งการชี่นชมความเหมือน
สองการยอมรับความแตกต่าง
คติความรักภาษาอังกฤษ
" A great relationship is about two things: First, appreciating the similarities, and second, accepting the differences."
คติความรัก
ความสัมพันธ์ที่ยั่งยืนประกอบด้วยสองสิ่ง
หนึ่งการชี่นชมความเหมือน
สองการยอมรับความแตกต่าง
วันจันทร์ที่ 16 ตุลาคม พ.ศ. 2560
ถ้าฉันรู้ว่าตัวฉันเองมีค่า : แคปชั่นเด็ดๆ แคปชั่นโดนๆ รู้คุณค่าตัวเอง คำคมสอนให้รู้คุณค่าตัวเอง
ถ้าฉันรู้ว่าตัวฉันเองมีค่า
ฉันจะไม่คิดว่าทุกย่างก้าวของอุปสรรคที่ฉันก้าวข้ามผ่านมันไปได้มันเป็นอะไรที่ไม่สำคัญเพราะว่าใครๆก็ทำได้
เมื่อมองย้อนกลับไปในอดีต ฉันเสียเวลาหลายปีไปกับการพยายามที่จะปรับปรุงตัวเอง
แทนที่จะอาเวลาไปชื่นชมในสิ่งดีๆที่ฉันมีเช่นฉันควรที่จะรู้สึกขอบคุณที่ฉันยังมีโอกาสที่จะได้ใช้ชีวิตอยู่บนโลกใบนี้
และฉันก็ยังมีสุขภาพที่ดี ฉันเสียเวลาไปหลายปีกับความคิดที่ว่าตัวฉันแย่
ตัวฉันยังไม่ดีพอ
ฉันมักจะคิดว่าฉันก็เป็นคนที่หน้าตาสวยใช้ได้ แต่ไม่ใช่สวยมาก ค่อนข้างจะฉลาด แต่ไม่ถึงกับฉลาดมาก
พูดง่ายๆก็คือฉันมองตัวเองเหมือนคนธรรมดาคนหนึ่ง ไม่ได้มีความโดดเด่นอะไร
ฉันเติบโตมากับความกลัวตัวเองจะเรียนได้เกรดแย่ๆในโรงเรียน
เพราะว่าถ้ามันเกิดขึ้นจริงๆ มันจะเป็นอีกเหตุผลหนึ่งที่ทำให้ฉันรู้สึกว่ามันเป็นเรื่องที่น่าอับอายและมันจะทำให้ฉันรู้สึกว่าตัวเองไม่มีค่าพอ
ในระบบโรงเรียนที่ฉันได้ร่ำเรียนมา
ฉันมักจะเคยชินกับการเอาตัวเองไปเปรียบเทียบกับคนอื่นอยู่เสมอ
ทุกวันในโรงเรียนฉันรู้สึกว่าการแข่งขันมันไม่มีวันที่จะสิ้นสุด และฉันก็จะต้องไขว่คว้าที่จะเป็นที่หนึ่งของห้องให้ได้
มันหนักมากนะกับสถานการณ์แบบนี้ ฉันแทบจะไม่มีเวลาว่างพอที่จะไปเที่ยวเล่น
เพราะว่าเวลาส่วนใหญ่จะหมดไปกับการทำการบ้าน
ฉันเสียเวลาหลายปีไปกับการเล่าเรียนทั้งในระดับมัธยมรวมทั้งระดับมหาลัย
ฉันมีหน้าที่การงานที่ดี ได้ทำงานกับบริษัทที่ใหญ่โตมีชื่อเสียงระดับแนวหน้า
ฉันได้มีโอกาสเดินทางท่องเที่ยวรอบโลก ฉันหมดเงิน หมดพลังงาน หมดเวลามากมายไปกับการเรียน
และการพัฒนาตัวเองเพื่อความก้าวหน้าในหน้าที่การงาน
.
ฉันได้เรียนเกี่ยวกับประวัติศาสตร์ของโลก คณิตศาสตร์ วิทยาศาสตร์ สังคมศาสตร์ วรรณคดี ดนตรี รวมทั้งภาษาต่างประเทศ ทั้งๆที่จริงๆแล้วมีอีกหนึ่งวิชาที่ฉันคิดว่ามันจำเป็นแต่ว่าก็ไม่มีโรงเรียนทีไหนสอน สิ่งนั้นก็คือการสอนให้รู้จักคุณค่าของตัวฉันเอง
สิ่งที่ฉันไม่เคยได้ตระหนักถึงในช่วงก่อนหน้านี้
และตอนนี้ฉันได้ตระหนักถึงมันแล้วว่า ถ้าเพียงแค่ฉันได้รู้ถึงคุณค่ของตัวฉันเอง :
ฉันจะไม่มัวแต่ไปคิดถึงข้อพกพร่อง จุดอ่อน ข้อด้อยต่างๆที่ฉันมี โดยที่ลืมคิดถึงข้อดี จุดแข็งและพรสวรรค์อื่นๆที่ฉันมี
ฉันจะหยุดการต่อสู้เพื่อให้ได้มาซึ่งความเพรียบพร้อมสมบูรณ์ ฉันจะไม่โทษตัวเองในสิ่งที่ฉันได้ทำผิดพลาดเล็กๆน้อยๆ ฉันควรที่จะรู้ว่าความเพรียบพร้อมสมบูรณ์ไร้ที่ติ มันเป็นเพียงแค่ภาพลวงตา
และมันก็ไม่มีจริงในโลกนี้
ฉันจะได้เรียนรู้การประสบความสำเร็จที่ได้มาจากหยาดเหงื่อของเราแทนที่มันจะมาจากการที่เราจะไปแสวงหาความสำเร็จจากโชคชะตา
หรือการหวังพึ่งคนที่จะหยิบยื่นโอกาสในหน้าที่การงานให้เรา
ฉันจะไม่ยอมลดคุณค่าของตัวเองลง เพื่อที่จะได้มาซึ่งหน้าที่การงาน
ฉันจะกล้าที่จะเจรจาต่อรองเพื่อให้ได้ค่าตอบแทนที่สูงขึ้น
เพราะว่าฉันคิดว่ามันสมน้ำสมเนื้อกันกับความสามารถและหยาดเหงื่อที่ฉันทุ่มเทมันลงไป
ฉันจะไม่มีทางที่จะลงเอยด้วยการได้รับค่าจ้างน้อยกว่าที่ฉันสมควรจะได้รับ
ฉันจะเลิกเอาตัวเองไปเปรียบเทียบกับคนอื่น และเข้าใจว่าทุกคนล้วนต่างมีเส้นทางชีวิตของตัวเอง
ฉันควรที่จะเรียนรู้ถึงการที่จะชื่นชมยินดีกับความสำเร็จของคนอื่น
แทนที่จะมานั่งกังวล กลัวว่าคนอื่นจะได้ดีกว่า ทั้งเรื่องหน้าที่การงาน การเงิน และความรัก
ฉันควรที่จะเรียนรู้ว่าชีวิตไม่ใช่การแข่งขันชิงดีชิงเด่นเพราะว่าจริงๆแล้ว
ความสำเร็จมันมีให้กับทุกคน มันมีอย่างพอเพียง
และไม่มีคำว่าจะหมดเพราะว่าเราทุกคนเกิดมาต่างก็มีความสามารถเฉพาะด้านต่างกัน
ไม่มีใครดีไม่มีใครเด่นไปกว่าใคร
ฉันควรที่จะยึดอกน้อมรับการยกย่องชมเชยจากคนอื่นด้วยความภาคภูมิใจในตัวฉันเอง
แทนที่จะปฏิเสธและมองไม่เห็นคุณค่าของตัวฉันเอง
.
ฉันจะไม่พยายามที่จะทำให้ทุกคนพอใจ ฉันจะกล้าปฏิเสธที่จะไม่ทำในสิ่งที่ฉันไม่อยากจะทำ
ฉันจะไม่กลัวว่าใครจะไม่ชอบฉันหรือมองว่าฉันเป็นคนแบบไหน ฉันจะไม่รู้สึกผิดถ้าฉันจะบอกปฏิเสธที่จะสุงสิงกับคนที่ฉันไม่รู้สึกสะดวกใจที่จะสุงสิงด้วย
เพราะว่าฉันจะต้องใช้เวลาอันมีค่าของฉันกับสิ่งที่ฉันอยากจะทำ
ฉันจะไม่คาดหวังให้ใครมาสร้างความสุข มาเติมเต็มในสิ่งที่ฉันขาด
มาเติมเต็มความรัก มาให้ความใส่ใจ
ฉันจะไม่คาดหวังให้ผู้ชายคนไหนมาทำให้ฉันรู้สึกว่าฉันมีค่า เป็นที่ต้องการ
และเป็นคนที่เขาจะสามารถรัก
เพราะว่าฉันรู้ว่าความสุขของฉันฉันต้องสร้างมันด้วยตัวฉันเองไม่ใช่หาจากคนอื่น แต่ถ้ามันจะได้มาจากคนอื่นฉันก็จะคิดว่ามันเป็นเหมือนกับโบนัสมากกว่า
แต่ถึงอย่างไรก็ตามทุกสิ่งทุกอย่างที่ฉันได้เผชิญ
มันเป็นบทเรียนอันมีค่าให้ฉันได้เรียนรู้
ฉันเชื่อว่าโลกอัจริยะใบนี้มันมีอะไรให้ค้นหาอีกมากมาย
และฉันเชื่อว่าทุกสิ่งทุกอย่างที่เกิดขึ้นย่อมมีเหตุและผลของมันเสมอ
ฉันไม่ได้เขียนบทความนี้ขึ้นมาเพื่อที่จะตำหนิใครๆ ฉันไม่ได้ตำหนิสังคม
ไม่ได้ตำหนิพ่อแม่ ครูบาอาจารย์ เพราะว่าทุกฝ่ายก็ต่างล้วนมีบทบาทและหน้าที่และความจำเป็นแตกต่างกันไป สิ่งที่เกิดขึ้นในชีวิตของฉันไม่ได้เป็นตัวกำหนดอนาตตของฉัน
ตัวฉันเองจะเป็นผู้กำหนดชะตาชีวิตและอนาคตของตัวฉันเอง สิ่งที่จะกำหนดอนาคตและชะตาชีวิตฉันมันก็มาจากวิธีคิดและวิธีที่ฉันปฏิบัติ
มันไม่มีคำว่าสายเกินไปที่ฉันจะรับรู้ถึงพลังที่ฉันมี
พลังความเชื่อในตัวเอง เชื่อว่าตัวฉันเองมีค่าพอที่จะคู่ควรกับสิ่งดีๆที่จะเข้ามาในชีวิต
: สุขภาพที่ดี ความรัก และอื่นๆอีกมากมายที่ตัวฉันสมควรจะได้รับ
และเมื่อฉันรู้คุณค่าตัวฉันเอง คนอื่นก็จะรับรู้ถึงคุณค่าของฉันเช่นกัน
คำคมภาษาอังกฤษเรู้คุณค่าตัวเอง
"When you know your worth, no one can make you feel worthless."
คำคมรู้คุณค่าตัวเอง
ไม่มีใครที่ไหนจะมาทำให้เรารู้สึกว่าไร้ค่า ถ้าเรารู้คุณค่าของตัวเราดีพอ
วันเสาร์ที่ 14 ตุลาคม พ.ศ. 2560
คำคมพ่อแม่ คติชีวิตพ่อแม่ คติสอนใจเกี่ยวกับพ่อแม่
คำคมพ่อแม่ภาษาอังกฤษ
Be sure to spend time with your parents while you can, because one day when you look up from your busy life, they won’t be there anymore.
-Unknown
Be sure to spend time with your parents while you can, because one day when you look up from your busy life, they won’t be there anymore.
-Unknown
คำคมพ่อแม่
พยายามใช้เวลาอยู่กับพ่อแม่ในช่วงที่เรายังมีโอกาส
อย่าปล่อยให้ถึงเวลาที่กว่าเราจะคิดได้ก็คือในเวลา
ที่เราไม่มีพวกเขาแล้ว
พยายามใช้เวลาอยู่กับพ่อแม่ในช่วงที่เรายังมีโอกาส
อย่าปล่อยให้ถึงเวลาที่กว่าเราจะคิดได้ก็คือในเวลา
ที่เราไม่มีพวกเขาแล้ว
ถ้าคุณรักพ่อแม่ของคุณลองอ่านนิทานสอนใจเรื่องนี้ดูนะ
ต้นไม้แห่งรัก
กาลครั้งหนึ่งนานมาแล้ว มีต้นมะม่วงอยู่ต้นหนึ่งกับเด็กผู้ชาย เด็กคนนี้ชอบมาเล่นที่ต้นมะม่วงนี้ทุกวัน ทั้งปีนป่ายขึ้นไปบนยอดของต้นมะม่วง
กินมะม่วง บางทีก็นอนหลับอยู่ใต้ต้นมะม่วง
เพราะว่าเด็กคนนี้ชอบต้นมะม่วงและต้นมะม่วงก็ชอบเล่นกับเด็กน้อย
จนกระทั่งเวลาผ่านไปจนเด็กน้อยเริ่มเติบโตเป็นหนุ่ม เขาก็ไม่มาเล่นกับต้นมะม่วงอีกเลย
และในวันหนึ่งหนุ่มน้อยคนนั้นได้กลับมาที่ต้นมะม่วง เขาดูเศร้า
ต้นมะม่วงพูดกับเขาว่า ”มาๆเล่นกับเรา”
“ไม่ฉันไม่เล่นอีกต่อไปแล้ว” เขาตอบ “ฉันต้องการของเล่นฉันต้องการเงินไปซื้อของเล่น”
“เสียใจด้วยนะพ่อหนุ่มเราไม่มีเงิน
แต่ว่าถ้าอยากได้เงินก็เก็บเอาลูกมะม่วงของเราไปขายก็ได้ เจ้าจะได้มีเงินไปซื้อของเล่นไง
“ ต้นมะม่วงบอก หนุ่มน้อยตื่นเต้นมาก
เขารีบเก็บมะม่วงแล้วก็เดินจากไปอย่างมีความสุข
เขาไม่เคยหวนกลับมาอีกเลยตั้งแต่วันนั้น ปล่อยให้ต้นมะม่วงเฝ้ารออย่างเดียวดาย
จนมาวันหนึ่งถึงวันที่หนุ่มน้อยได้เติบโตเป็นชายหนุ่ม เขาได้กลับมาหาต้นมะม่วง
ต้นมะม่วงดีใจมากที่เห็นเขากลับมาหา ” เจ้ากลับมาหาเราแล้ว มาๆเล่นกัน “ ต้นมะม่วงบอก “ฉันไม่มีเวลาจะเล่นกับเธอแล้ว
ฉันต้องทำงานหาเลี้ยงครอบครัว พวกราต้องการบ้านสักหลัง เธอช่วยฉันได้ไหม? " เขาถาม “เสียใจด้วยนะพ่อหนุ่มเราไม่มีบ้านให้เจ้าหรอกนะ
แต่ว่าเจ้าตัดเอากิ่งก้านของเราไปสร้างบ้านก็ได้ “ ชายหนุ่มลงมือตัดกิ่งมะม่วงจนหมดต้น
แล้วก็จากไป เขาทิ้งให้ต้นมะม่วงต้องอยู่อย่างโดดเดี่ยวอีกแล้ว
ในวันหนึ่งในช่วงหน้าร้อน ชายคนนั้นกลับมาหาต้นมะม่วง
ต้นมะม่วงดีใจที่สุด “เย้ ในที่สุดเจ้าก็กลับมาหาเราแล้ว มาๆเล่นกันนะ “ เขาตอบกลับว่า “ฉันเริ่มแก่แล้วตอนนี้ และฉันก็รู้สึกไม่สบายใจสักเท่าไหร่ ฉันอยากล่องเรือออกไปไกลๆ
เธอหาเรือให้ฉันหน่อยได้ไหม?” ต้นมะม่วงตอบว่า”
ถ้าอย่างนั้นเจ้าใช้ลำต้นของเราสร้างเรือก็ได้นะ เจ้าจะได้ล่องเรือไปไกลๆ ถ้ามันจะช่วยทำให้เจ้ารู้สึกดี
“ ชายคนนั้นลงมือตัดท่อนซุงจากต้นมะม่วงเพื่อสร้างเรือ
แล้วเขาก็จากไปนานอีกเช่นเคย
ในที่สุดชายคนนั้นก็กลับมาหาต้นมะม่วง หลังจากที่เขาหายไปหลายปีมาก ต้นมะม่วงพูดกับเขาว่า
“เสียใจนะพ่อหนุ่มตอนนี้เราไม่มีอะไรหลงเหลือให้เจ้าแล้ว
ไม่มีลูกมะม่วงให้เจ้า”
“ฉันไม่ต้องการมะม่วงเพราะฉันไม่มีฟันที่จะเคี้ยว” เขาตอบ
“และเราก็ไม่มีกิ่งก้านให้เจ้าได้ปีนเล่นอีกแล้ว”
“ฉันแก่เกินไปที่จะปีนป่ายต้นไม้เล่นแล้ว “ เขาตอบ
“ตอนนี้เราไม่มีอะไรให้เจ้าแล้วนะพ่อหนุ่ม
ตอนนี้เราเหลือแค่รากแก่ๆที่เหี่ยวเฉา” ต้นมะม่วงพูดอย่างเศร้าๆ
“ฉันไม่ต้องการอะไรอีกแล้วตอนนี้
ฉันต้องการที่ที่ฉันจะได้พักผ่อนอย่างสงบ” เขาตอบ
ต้นมะม่วงปลอบเขาว่า” อึมจริงๆแล้วรากแก่ๆของเรา ก็พอจะช่วยให้เจ้าพักผ่อนได้นะ
เจ้าก็เอนกายของเจ้ามาที่รากของเราก็ได้ เจ้าไม่ต้องปีนป่าย ถ้าเจ้ารู้สึกว่าเหนื่อยกับชีวิต
เจ้าก็มานั่งพักผ่อนบนรากเรา เราจะได้คุยกันเงียบๆนะ”
ชายหนุ่มเอนกายพิงรากเหี่ยวๆของต้นมะม่วง พวกเขาพุดคุยกันอย่างถูกคอ ถึงแม้ว่ารากของต้นมะม่วงตอนนี้จะเหี่ยวเฉามากแต่ใจของต้นมะม่วงรู้สึกกระชุ่มกระชวยเหมือนเกิดใหม่ เราดีใจนะที่เจ้ากลับมาหาเราพ่อหนุ่ม ต้นมะม่วงกล่าวอย่างปลื้มปิติ
นิทานเรื่องนี้ เปรียบเทียบต้นมะม่วงเป็นตัวแทนของพ่อแม่ของเรา
เมื่อเรายังเด็กเราก็ชอบที่จะอยู่กับพ่อแม่ แต่พอเราเริ่มโตเราก็เริ่มที่จะทำตัวออกห่างจากพวกเขา
และจะกลับมาหาพวกเขาก็ต่อเมื่อเราต้องการความช่วยเหลือเท่านั้น พ่อแม่เสียสละทุกสิ่งทุกอย่างเพื่อลูกได้
ดังนั้นจงอย่าลืมที่จะดูแลพ่อแม่ยามที่พวกเขาแก่ชรา
ให้ความรักความเอาใจใส่ก่อนที่ทุกอย่างมันจะสายจนเกินไป
วันศุกร์ที่ 25 สิงหาคม พ.ศ. 2560
อะไรคือเป้าหมายในชีวิต
เราจะหาเป้าหมายในชีวิตได้อย่างไร? ฉันก็เคยเป็นคนหนึ่งที่ตามหาเป้าหมายชีวิตมาตลอดเวลา
ซึ่งการคิดถึงเป้าหมายชีวิตมันยากและแทบจะเป็นไปไม่ได้เหมือนกับเราขุดหาน้ำในทะเลทราย
หลังจากที่ฉันได้ใช้เวลามานานหลายปีมากเรียกได้ว่าเกือบจะทั้งชีวิตของฉันเลยทีเดียว และแล้วในวันหนึ่งฉันก็ได้คำตอบ ซึ่งมันเป็นอะไรที่เรียบง่ายมาก
ฉันค้นพบว่ามันไม่ใช่เรื่องของเป้าหมายแต่มันเป็นเรื่องของการเดินทาง ฉันเรียนรู้และค้นพบอะไรใหม่ๆมากมายจากการเดินทาง ทั้งความสุข ทั้งความทุกข์ ฉันรู้ว่าฉันไม่สามารถที่หาเป้าหมายของชีวิตได้เจอถ้ามัวแต่นั่งขบคิดถึงมันอยู่ที่บ้าน แต่เราต้องออกเดินทางแล้วระหว่างทางเราจะเรียนรู้และค้นพบอะไรมากมาย
หลังจากที่ฉันได้ใช้เวลามานานหลายปีมากเรียกได้ว่าเกือบจะทั้งชีวิตของฉันเลยทีเดียว และแล้วในวันหนึ่งฉันก็ได้คำตอบ ซึ่งมันเป็นอะไรที่เรียบง่ายมาก
ฉันค้นพบว่ามันไม่ใช่เรื่องของเป้าหมายแต่มันเป็นเรื่องของการเดินทาง ฉันเรียนรู้และค้นพบอะไรใหม่ๆมากมายจากการเดินทาง ทั้งความสุข ทั้งความทุกข์ ฉันรู้ว่าฉันไม่สามารถที่หาเป้าหมายของชีวิตได้เจอถ้ามัวแต่นั่งขบคิดถึงมันอยู่ที่บ้าน แต่เราต้องออกเดินทางแล้วระหว่างทางเราจะเรียนรู้และค้นพบอะไรมากมาย
เป้าหมายในชีวิตคือการใช้ชีวิตอยู่กับปัจจุบัน
ใช้ชีวิตอยู่บนโลกนี้ให้คุ้มค่าทุกเสี้ยววินาทีโดยที่ไม่ต้องไปคิดถึงอดีต
และกังวลกับสิ่งที่ยังมาไม่ถึงในอนาคต การทำตัวเราในวันนี้ให้ดีกว่าเราที่เคยเป็นเมื่อวาน
การรักตัวเอง เชื่อมั่นศรัทธาในตัวเองรวมทั้งความพอใจในสิ่งที่เรามีและเป็นอยู่
การให้โอกาสตัวเองในการทดลองทำสิ่งใหม่ๆที่เข้ามาในชีวิตและถึงแม้ว่าเราจะผิดพลาด เราจะล้ม แต่เราก็ยังลุกขึ้นมาได้ และความล้มเหลวนั้นมันจะสอนบทเรียนให้แก่เรา มันจะสร้างเราให้เติบโตและแข็งแกร่ง
การให้โอกาสตัวเองในการทดลองทำสิ่งใหม่ๆที่เข้ามาในชีวิตและถึงแม้ว่าเราจะผิดพลาด เราจะล้ม แต่เราก็ยังลุกขึ้นมาได้ และความล้มเหลวนั้นมันจะสอนบทเรียนให้แก่เรา มันจะสร้างเราให้เติบโตและแข็งแกร่ง
ที่สำคัญที่สุดเราตัองใช้ชีวิตให้มีความสุขในทุกๆสถานการณ์
วันจันทร์ที่ 31 กรกฎาคม พ.ศ. 2560
กำลังใจยามท้อ ข้อความ คำพูดให้กำลังใจยามท้อ
ข้อคิดชีวิตกำลังใจยามท้อแท้
เหนื่อยไหม? ท้อไหม? กับชีวิต
เพื่อนๆเคยรู้สึกแบบนี้บ้างไหมคะ คือเวลาที่ตื่นขึ้นมาแล้วไม่อยากที่จะไปทำงาน ไม่อยากจะออกไปเผชิญกับโลกภายนอก อยากที่จะเก็บตัวอยู่ในบ้านอยู่ในที่ที่คิดว่าเรารู้สึกอบอุ่น ปลอดภัย เพราะเรามีความรู้สึกว่าบางครั้งโลกภายนอกมันช่างโหดร้ายกับเราอะไรเช่นนี้
ไม่แปลกหรอกค่ะที่เราจะเคยคิดกันแบบนี้ ความรู้สึกผิดหวังหมดกำลังใจจากงาน เจ้านาย เพื่อนร่วมงาน หรืออาจจะเป็นความผิดหวังจากคนรัก
หรือเรื่องอื่นๆ สิ่งเหล่านี้มันมีแต่จะบั่นทอนจิตใจเราแล้วถ้าเราจะปล่อยให้มันเป็นแบบนี้ไปเรื่อยๆ มันคงจะไม่มีผลดีต่อตัวเราแน่ๆเลยค่ะ แล้วถ้าเราอยากจะทำให้เรารู้สึกดีขึ้นเข้มแข็งขึ้นเราลองมาฝึกคิดและทำตามวิธีเหล่านี้ดูนะคะ
ไม่แปลกหรอกค่ะที่เราจะเคยคิดกันแบบนี้ ความรู้สึกผิดหวังหมดกำลังใจจากงาน เจ้านาย เพื่อนร่วมงาน หรืออาจจะเป็นความผิดหวังจากคนรัก
หรือเรื่องอื่นๆ สิ่งเหล่านี้มันมีแต่จะบั่นทอนจิตใจเราแล้วถ้าเราจะปล่อยให้มันเป็นแบบนี้ไปเรื่อยๆ มันคงจะไม่มีผลดีต่อตัวเราแน่ๆเลยค่ะ แล้วถ้าเราอยากจะทำให้เรารู้สึกดีขึ้นเข้มแข็งขึ้นเราลองมาฝึกคิดและทำตามวิธีเหล่านี้ดูนะคะ
1. เราอาจจะต้องระบายมันออกมา ร้องไห้ ร้องมันออกมาถ้ามันจะช่วยให้เราได้ปลดปล่อย หาใครสักคนที่เรารู้สึกว่าไว้ใจและสบายใจที่เราจะเล่าเรื่องราวของเราให้เขาหรือเธอฟัง
อย่าเก็บกดความรู้สึกนั้นไว้ภายในใจต้องหาที่ระบาย แต่ไม่แนะนำให้ไประบายความรู้สึกลงในเฟสบุ๊คแล้วด่า หรือประจานคนที่เขาทำให้เราเจ็บนะคะ
วิธีนี้นอกจากจะไม่ช่วยอะไรแล้วมันยังอาจจะทำให้เราหงุดหงิดเพราะเกิดเราโพสต์แล้วมีคนอื่นที่เขาเป็นเพื่อนร่วมกันระหว่างเรากับคนนั้นเข้ามาเม้นท์ใม่เห็นด้วยกับเรา
หรือถ้าเราโพสต์ด่าเจ้านาย บางทีถึงเราไม่ได้เป็นเพื่อนกับเจ้านายในเฟสบุ๊คแต่มันก็อาจบังเอิญมีคนที่เป็นเพื่อนกับกับเราและเจ้านายเรามาเห็น แล้วเขาอาจจะเอาโพสต์นั้นไปให้เจ้านายเราดู เพราะว่าโลกมันแคบค่ะ เรื่องแบบนี้ต้องระวังไว้ก่อนนะคะ
อย่าเก็บกดความรู้สึกนั้นไว้ภายในใจต้องหาที่ระบาย แต่ไม่แนะนำให้ไประบายความรู้สึกลงในเฟสบุ๊คแล้วด่า หรือประจานคนที่เขาทำให้เราเจ็บนะคะ
วิธีนี้นอกจากจะไม่ช่วยอะไรแล้วมันยังอาจจะทำให้เราหงุดหงิดเพราะเกิดเราโพสต์แล้วมีคนอื่นที่เขาเป็นเพื่อนร่วมกันระหว่างเรากับคนนั้นเข้ามาเม้นท์ใม่เห็นด้วยกับเรา
หรือถ้าเราโพสต์ด่าเจ้านาย บางทีถึงเราไม่ได้เป็นเพื่อนกับเจ้านายในเฟสบุ๊คแต่มันก็อาจบังเอิญมีคนที่เป็นเพื่อนกับกับเราและเจ้านายเรามาเห็น แล้วเขาอาจจะเอาโพสต์นั้นไปให้เจ้านายเราดู เพราะว่าโลกมันแคบค่ะ เรื่องแบบนี้ต้องระวังไว้ก่อนนะคะ
2. ลองมองปัญหานั้นในมุมที่กว้างออกไปเช่น สิ่งที่เรากำลังกลัดกลุ้มอยู่ตอนนี้มันจะส่งผลกระทบต่อเรานานแค่ไหน เป็นอาทิตย์ เป็นเดือน เป็นปี หรือน่าจะสักพักใหญ่?
การถามคำถามนี้จะทำให้เรากลับสู่โลกแห่งความเป็นจริง
ลองหันไปมองคนอื่นๆที่เขาอาจจะเผชิญกับสิ่งที่แย่ยิ่งกว่าเราเช่น คนที่บ้านถูกน้ำท่วม หรือไฟไหม้ คนจรจัดไม่มีบ้าน
ขอทาน คนขายพวงมาลัย ขายหนังสือพิมพ์ตามท้องถนน เด็กที่อดอยาก และอื่นๆ
การถามคำถามนี้จะทำให้เรากลับสู่โลกแห่งความเป็นจริง
ลองหันไปมองคนอื่นๆที่เขาอาจจะเผชิญกับสิ่งที่แย่ยิ่งกว่าเราเช่น คนที่บ้านถูกน้ำท่วม หรือไฟไหม้ คนจรจัดไม่มีบ้าน
ขอทาน คนขายพวงมาลัย ขายหนังสือพิมพ์ตามท้องถนน เด็กที่อดอยาก และอื่นๆ
3. สร้างความรู้สึกขอบคุณในสิ่งดีๆที่เรามี แน่นอนว่ามันคงจะเป็นการยากที่จะทำให้เรารู้สึกดีต่อตัวเราในภาวะเช่นนี้ แต่แทนที่เราจะมัวแต่คิดจมปักกับสิ่งที่เราคาดหวังแล้วมันไม่เป็นไปดังใจหวัง ตรงข้ามให้เราลองลิสต์ถึงสิ่งดีๆที่เรามีในชีวิตเราเช่น เรามีบ้านให้ซุกหัวนอน มีรถขับ มีงานทำ มีครอบครัวที่อบอุ่น มีเพื่อนที่ดี มีสุขภาพดี หรือความสามารถพิเศษของเราที่โดดเด่น มีน้องหมาที่แสนจะซื่อสัตย์คอยรอรับเวลาที่เรากลับเข้าบ้าน และอื่นๆ
เราควรที่จะคิดขอบคุณในสิ่งที่เรามีมากกว่าที่จะไปคิดผิดหวังท้อแท้ในสิ่งที่เราไม่ได้ การที่เราลิสต์ถึงสิ่งดีๆที่เรามีจะทำให้เราพบว่าเรามีสิ่งทีดีในชีวิตมากกว่าสิ่งที่แย่
เราควรที่จะคิดขอบคุณในสิ่งที่เรามีมากกว่าที่จะไปคิดผิดหวังท้อแท้ในสิ่งที่เราไม่ได้ การที่เราลิสต์ถึงสิ่งดีๆที่เรามีจะทำให้เราพบว่าเรามีสิ่งทีดีในชีวิตมากกว่าสิ่งที่แย่
4. หาช่วงเวลาเยียวยา ด้วยการพักผ่อน
เราต้องไม่ปล่อยให้ตัวเองจมปักอยู่กับความทุกข์แล้วคิดวนไปวนมากับปัญหาเหมือนกับภายเรือในอ่าง
แต่เราอาจจะต้องการช่วงเวลาที่เราต้องการหลบเลียแผล เช่นออกไปเดินสูดอากาศในชายหาดสักที่ หรือขึ้นเขาไปชื่นชมธรมมชาติ ฟังเพลงที่เราชื่นชอบ หรือการเขียนระบายความรู้สึกลงในบล็อกส่วนตัว หรือในสมุดบันทึก การวาดภาพ มีศิลปินที่มีชื่อเสียงหลายคนเกิดขึ้นมาเพราะว่าเกิดจากความผิดหวังในชีวิตแล้วระบายความรู้สึกลงในภาพวาด เขียนเนื้อเพลง บทกวีหรือนวนิยาย ไม่แน่เราอาจจะเป็นคนหนึ่งในนั้นที่จะสามารถพลิกวิกฤตในชีวิตให้เป็นโอกาส
เราต้องไม่ปล่อยให้ตัวเองจมปักอยู่กับความทุกข์แล้วคิดวนไปวนมากับปัญหาเหมือนกับภายเรือในอ่าง
แต่เราอาจจะต้องการช่วงเวลาที่เราต้องการหลบเลียแผล เช่นออกไปเดินสูดอากาศในชายหาดสักที่ หรือขึ้นเขาไปชื่นชมธรมมชาติ ฟังเพลงที่เราชื่นชอบ หรือการเขียนระบายความรู้สึกลงในบล็อกส่วนตัว หรือในสมุดบันทึก การวาดภาพ มีศิลปินที่มีชื่อเสียงหลายคนเกิดขึ้นมาเพราะว่าเกิดจากความผิดหวังในชีวิตแล้วระบายความรู้สึกลงในภาพวาด เขียนเนื้อเพลง บทกวีหรือนวนิยาย ไม่แน่เราอาจจะเป็นคนหนึ่งในนั้นที่จะสามารถพลิกวิกฤตในชีวิตให้เป็นโอกาส
5. รู้จักที่จะยอมรับกับความจริง ในเมื่อมันเกิดขึ้นแล้วเราคงจะไม่สามารถเปลี่ยนแปลงอะไรได้ แล้วเราก็ไม่ควรที่จะมานั่งจมปลักกับความคิดที่ว่าโลกนี้ช่างไม่ยุติธรรมเอาซะเลย ทำไมเราต้องมาเจอกับอะไรที่เลวร้ายแบบนี้
แต่ในเมื่อมันเกิดขึ้นแล้วแล้วเราก็เปลี่ยนแปลงอะไรไม่ได้ แล้วมันก็กลายเป็นอดีตไปแล้ว แต่ขณะนี้เรากำลังอยู่กับปัจจุบัน
ถ้าเราไม่ปล่อยให้อดีตผ่านไปเราก็จะไม่มีวันที่จะมองเห็นอนาคตข้างหน้า ถ้าสามีหรือภรรยานอกใจแน่นอนว่ามันไม่ใช่เรื่องที่จะทำใจยอมรับได้ในช่วงเวลาค่ำคืน แต่เราต้องมีวิธีคิดที่จะนำเราออกไปจากความทุกข์ที่เราแบกรับมันไว้ตอนนี้
6. หาแรงบันดาลใจด้วยการอ่านเรื่องราวของคนที่เขาต้องฝ่าฟันอุปสรรคทำแล้วประสบความสำเร็จในชีวิต
นักเขียนที่ได้รับรางวัโนเบล ชื่อ อลิส มันโร กว่าหนังสือของเธอจะได้รับการตีพิมพ์ก็ปาเข้าไปตอนเธออายุ 37!
สตีฟ จ๊อป เรียนไม่จบมหาวิทยาลัย โทมาสเอดิสันต้องล้มเหลวเป็นพันๆครั้งกว่าจะคิดค้นสำเร็จ ผู้พันแซนเดอร์ผู้ก่อตั้งเคเอฟซี ถูกปฏิเสธสูตรไก่ทอดที่เขานำไปเสนอถึง1,009 ครั้ง ทุกคนที่กล่าวมายังไม่รวมคนอื่นๆที่กว่าเขาจะจะไปถึงเส้นชัยพวกเขาต้องล้มเหลวหลายครั้งหลายหน
หรือหาคติประจำใจที่โดนๆมาไว้เตือนสติและให้กำลังใจตัวเอง คนที่เขาคิดคติคำคมออกมาทุกคนล้วนผ่านร้อนผ่านหนาวมากันทั้งนั้นค่ะ การอ่านคติคำคมเหล่านี้ก็จะช่วยให้เราเรียนรู้เรื่องราวชีวิตได้ค่ะ
สุดท้ายจงเรียนรู้ที่จะขอบคุณอุปสรรคที่เข้ามาในชีวิตเราเพราะว่ามันจะช่วยสร้างเราให้เข้มแข็งขึ้น
ขอส่งกำลังใจให้เพื่อนๆทุกคนนะคะ ถ้ารู้สึกท้อแท้ก็แวะเข้ามาเติมกำลังใจที่นี่นะคะ หรือถ้ามีเรื่องราวที่อยากจะแบ่งปันก็เชิญนะคะเม้นท์เรื่องราวของคุณได้เลยค่ะ เรามาช่วยกันสร้างกำลังใจให้กันและกันนะคะ
สมัครสมาชิก:
บทความ (Atom)
โดดเดี่ยวแต่ไม่เดียวดาย
"การได้อยู่คนเดียวมันทำให้ฉันได้เข้าใจได้ว่า ความโดดเดี่ยวมันไม่ใช่การที่เราขาดความสัมพันธ์แต่มันหมายถึงการที่เรามีความเชื่อมต่อกับตัว...

-
ชีวิตมีขึ้นมีลงสุขๆ ทุกข์ๆปะปนกันไป ไม่มีใครในโลกนี้ที่จะมีชีวิตที่ปราศจากอุปสรรค ไม่ว่าคนคนนั้นจะรวยหรือจนทุกคนล้วนเคยผ่านเรื่องราวที่เจือ...
-
คำคมสักวันมันจะเป็นวันของเรา วันนี้มันยังไม่ใช่วันของฉัน แต่ฉันก็ยังเชื่อว่าสักวันมันจะต้องเป็นวันของฉัน คำคมสักวันมันจะเป็นวันของเราภาษา...
-
คำคมภาษาอังกฤษอย่าตัดสิน Never judge someone without knowing the whole story. You may think you understand but you don't. -Unknown ...